Rainbow Lucky Charms

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2557

วันที่ 9 กันยายน 2557



สัปดาห์ที่ 4

วิชา  การจัดประสบการณ์วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
อาจาร์ยผู้สอน อาจาร์ยจินตนา  สุขสำราญ
วันที่ 9 กันยายน 2557
ครั้งที่ 4  กลุ่มเรียน  103
เวลาเรียน  08.30 - 12.20 น.  ห้อง  434





ในการเรียนการสอนรายสัปดาห์นี้ดิฉันได้ความรู้ต่างๆมากมาย สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนในสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัยได้จริง  สัปดาห์นี้เพื่อนๆได้นำบทความมาให้ความรู้    โดยบทความมีทั้งหมด 5 บทความ เรามาเรียนรู็และทำความเข้าใจกันคะ

1.บทความจุดประกายเด็กคิดนอกกรอบ

 กล่าวว่าของเล่นนั้นจะอยู่คู่กับเด็กทุกคน  ทั้งของเล่นพื้นบ้าน และวิทยาศาสตร์  คุณครูนพพร คุณครูพี่เลี้ยงจึงไ้จัดเด็กกลุ่มอนุบาลเข้าร่วมนิทรรศการเพื่อให้เด็กสืบเสาะหาความรู้ และได้ทดลองเกี่ยวกับกิจกรรมที่นิทรรศการจัดขึ้น  โดยกิจกรรมที่ครูนพพรพาเด้กไปเข้าร่วมเป้นการหาความรู้จากของเล่น เช่น  การพับแฮลิคอปเตอร์กระดาษ  จรวด  เเละเครื่องบิน  ซึ่งเป็นความคิดดสร้างสรรค์นอกกรอบ  เกี่ยวกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์คือ  ต้องการให้เด็กทราบถึง   ความสูง - ต่ำ  ในการโยนจรวดลงสู่พื้นดิน  

2.บทความทำอย่างไรให้ลูกสนใจวิทยาศาสตร์ 

     กล่าวว่าวิธีการทำให้ลูกน้อยสนใจวิทยาศาสตร์มีวิธีง่ายๆคือ 
  2.1 ให้ลูกน้อยอ่านหนังสือการ์ตูน เช่น หนังสือโดเรมอน  เพราะมีความรู้ทางวิทยาศตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง
  2.2 ซื้อเกราะกิจกรรมการทดลอง  ซื้อหนังสือทดลองที่สามารถทำที่บ้าน   เช่น  การพับกระดาษ  พีระมิด  การตัดพิซซ่า  เป็นต้น 
  2.3 พาเด็กเข้าร่วมพิพิธภัณฑ์  เพราะเด็กสามารถเข้าร่วมการทดลองได้  เเละยังสามารถช่วยกระตุ้นให้เด็กกล้าเเสดงออกในการทดลองให้แก่เด็ก   ทำให้เด็กเกิดกระบวนการเรียนรู้

3.บทความวิทยาศาสตร์  คณิตศาสตร์สำคัญอย่างไรกับอนาคตของชาติ

 เป็นการจัดเสวนาโดยเรียนเชิญผู้ที่มีความสำคัญทางการศึกษาปฐมวัย  เช่น ครูธิดา  
ครูธิดา กล่าวว่า  ในการเล่นครูต้องให้เด็กลงมือปฎิบัติจริงแล้วครูคอยประเมินพฤติกรรมของเด็กอยู่ห่างๆ  และชวนเด็กตั้งคำถามไปเรื่อยๆ  จะทำให้เด็กเกิดความสงสัยและอยากหาคำตอบ เเละอยากทำการทดลอง  ซึ่งทำใหห้เด็กได้เรียนรู้และปฎิบัติจริงในการทำกิจกรรม และการจัดประสบการณ์ 

4.บทความเมื่อลูกน้อยเรียนรู้วทยาศาสตร์  คณิตศาสตร์จากดนตรี

โดยให้ครูปฐมวัยให้เด็กปฐมวัยส่งลูกบอลจากตนไปหาเพื่อน  บางคนส่งช้า  บางคนส่งเร็ว  และบางคนส่งตามจังหวะเสียง  หลังจากนั้นชวนเด็กเข้าร่วมกิจกรรมการอบรม  โดยให้เด็กหาอุปกรณ์ชนิดใดก็ได้มาทำกิจกรรมที่เกิดเสียง   และผู้จัดกิจกรรมมีการซักถามว่า  อุปกรณ์ที่นำมาเกิดเสียงอะไรบ้าง  เช่น    เสียงเบา  เสียงแหลม  เสียงทุ้ม  เสียงดัง  เสียงสูง   เสียงต่ำ  และขึ้นอยู่กับปริมาณที่หลากหลาย  
เช่น   -เสียงเกิดจากวัตถุกระทบกัน    
        -วัตถุที่ต่างกันทำให้เกิดเสียงที่ต่างกัน

5.บทความการจัดการเรียนรูวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย

วัตถุประสงค์  -ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ของเด็ก
                  -เพื่อให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว 
                  -เพื่อส่งเสริมทักษะด้านต่างๆ
ในการทดลองเด็กจะใช้ทักษะการสังเกตุ  และประมวลความคิด  และบอกเหตุผล และจึงสร้างสรรค์ชิ้นงานออกมาโดยใช้ทักษะการคิดวิเคราะห์  การใช้เหตุผล  ไปถึงทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์

เป้าหมาย   -แสดงความตระหนักรู้  ลงมือปฎิบัติ  สำรวจ  ตั้งคำถาม 
                -ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์
                -รู้จักการใช้เหตุผล  กลัวการตัดสินใจ
                -เด็กได้ช่วยเหลือตนเอง  และทำงานร่วมกับเพื่อน


และยังกล่าวไปถึง ทักษะวิทยาศาสตร์ 
ทักษะวิทยาศาสตร์  หมายถึง  การศึกาาสืบค้นและจัดระบบความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติโดยอาศัยกระบวนการเเสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์  ที่ประกอบด้วยวิธีการ    ทักษะกระบวนการ  และเจตคติทงวิทยาศาสตร์อย่างมีระบบแบบแผน  มีขอบเขตโดยอาศัยการสังเกตุ   การทดลองเพื่อค้นหาความจริง  และทำให้ได้มาซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ึ่ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน

เเนวคิดพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์

1.การเปลี่ยนแปลง
2.ความแตกต่าง  ความคล้ายคลึงกัน
3.การปรับตัว  ( สภาพเเวดล้อม อากาศ สังคม )
4.การพึ่งพาอาศัยกัน
5.ความสมดุล


การศึกษาวิธีการทางวิทยาศาสตร์

1.ขั้นกำหนดปัญหา 
2.ขั้นตั้งมติฐาน 
3.ขั้นรวบรวมข้อมูล
4.ขั้นลงข้อสรุป


เจตคติทางวิทยาศาสตร์

1.ความอยากรู้อยากเห็น 
2.ความเพียรพยายาม  
3.ความมีเหตุผล
4.ความซื่อสัตย์
5.ความมีระเบียบและรอบคอบ
6.ความใจกว้าง


ความสำคัญของวิทยาศาสตร์

1.ตอบสนองความต้องการ 
2.พัฒนาการทักษะกระบวนการ
3.เสริมสร้างประสบการณ์



ประโยชน์ของวิทยาศาสตร์

1.พัฒนาความต้องการพื้นฐาน
2.สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
3.พัฒนาทักษะการเเสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์






คําศัพท์  (vocabulary)



1.จุดประกาย  ( spark )


2.พิพิธภัณฑ์  ( museum )


3.พิพิธภัณฑ์เชิงงปฎิสัมพันธ์ ( interractive )


4.ความเเตกตต่าง ( Differrent )


5.ความเพียรพยายาม ( pertinacit
y )


6.ความมีเหตุผล  ( reasonable )




บทความของฉัน


เรื่องไม่เล็กของเด็กชายขอบ กับการสร้างกระบวนการเรียนรู้วิทย์แบบบูรณาการ

         


        บนผืนดินถิ่นทุรกันดารตามแนวรอยต่อพรมแดนไทย-พม่า จังหวัดตาก ยังมีเด็กเยาวชนชายขอบจำนวนมากที่รอคอยความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อคืนโอกาสในการเข้าถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยก้าวข้ามผ่านมิติที่แตกต่างทางภาษา ชาติพันธุ์ ระยะทางที่ห่างไกล และความเหลื่อมล้ำใด ๆ
        สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้ริเริ่ม “โครงการบูรณาการวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีปฐมวัย” มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 เพื่อร่วมเป็นกำลังสนับสนุนโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามแนวพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ภายใต้แนวทางการจัดอบรมครูผู้สอนวิทยาศาสตร์ให้มีทักษะการจัดกิจกรรมบูรณาการสหวิชา ตลอดจนสนับสนุนสื่ออุปกรณ์การศึกษาต่าง ๆ เพื่อต่อยอดการเรียนรู้ของเด็ก ผ่านกระบวนการสืบเสาะ 4   ขั้นตอน ได้แก่ การตั้งคำถาม การสำรวจตรวจสอบ การตอบคำถาม และนำเสนอผลการสำรวจตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง
        “วิทยาศาสตร์ คือ กระบวนการแสวงหาคำตอบและสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งครูสามารถใช้สิ่งแวดล้อมรอบตัว มาสร้างกิจกรรมการเรียนการสอนโดยไม่ต้องมีห้องทดลองหรืออุปกรณ์ไฮเทคใด ๆ ขอเพียงให้เด็กได้ฝึกฝนกระบวนการคิดวิเคราะห์ การสังเกต จำแนก เปรียบเทียบ และสรุปความรู้ ซึ่งเด็กสามารถนำไปใช้แก้ปัญหากับทุกเรื่องที่ต้องเผชิญต่อไปในอนาคต” ดร.เทพกัญญา พรหมขัติแก้ว นักวิชาการ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กล่าว
ในแต่ละปี สสวท. จะมีการจัดอบรมครูจากโรงเรียนในโครงการฯ ปีละ 1 ครั้ง ใช้เวลาทั้งสิ้น 5 วัน ซึ่งครูที่ผ่านการอบรมจะถูกพัฒนาเป็นครูแกนนำเพื่อไปขยายผลต่อในพื้นที่ โดยคณะนักวิชาการจากสสวท. จะลงพื้นที่ทำงานร่วมกับศึกษานิเทศก์ในการติดตามผลว่า ครูได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการสอนและเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างไร การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ปัญหาที่พบเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปรับปรุงต่อไป




               


เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต2  ถือเป็นโมเดลที่ใหญ่ที่สุด และประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เพิ่งนำโครงการฯ ของสสวท.  เข้าสู่พื้นที่เมื่อปี 2552 โดยโครงการฯ ถูกขยายผลสู่โรงเรียนระดับอนุบาลทุกโรงเรียน ครอบคลุมทุกพื้นที่ การส่งครูผู้สอนเข้ารับการอบรมอย่างต่อเนื่อง จนขณะนี้มีครูแกนนำทั้งหมด 35 คน การจัดโครงการ “คาราวานเสริมสร้างเด็ก” เพื่อพัฒนาความรู้ของพ่อแม่ผู้ปกครองโดยให้มาเรียนรู้ร่วมกับเด็ก ซึ่งโรงเรียนจะคอยติดตามว่า ผู้ปกครองได้นำกิจกรรมไปกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กที่บ้านหรือไม่
“จากผลการประเมินของสปศ. หรือสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เด็กของเราจะอ่อนด้อยในทักษะการคิดวิเคราะห์ แต่เมื่อนำกระบวนการของสสวท.เข้ามาปรับใช้ ทำให้การประเมินมาตรฐานตามปีงบประมาณ 2554 เราส่งโรงเรียนระดับปฐมวัยเข้ารับการประเมิน 13 โรง ก็ผ่านการประเมินครบทุกโรงเรียน”  นายทองสุข อยู่ศรี ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2กล่าว
อย่างไรก็ตาม นางกันยารัตน์ บุญมาลีรัตน์ ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ยอมรับว่าแรกดำเนินการประสบกับปัญหาหลายด้าน ตั้งแต่ปัญหาการสื่อสารทางภาษาเนื่องจากเด็กเกือบทั้งหมดเป็นเด็กชนเผ่า ผู้ปกครองก็เป็นชนเผ่า ปัญหาครูผู้สอนที่ไม่ได้จบด้านปฐมวัยมาโดยตรง จึงไม่มีพื้นฐานจัดกิจกรรม หรือความรู้จิตวิทยาเด็ก เกิดความสับสนเมื่อต้องรับผิดชอบทั้งกิจกรรมการเรียนการสอน 6 กิจกรรมหลัก (ได้แก่ กิจกรรมการเคลื่อนไหว กิจกรรมเสริมประสบการณ์ กิจกรรมเสรี กิจกรรมกลางแจ้ง กิจกรรมเกมส์การศึกษา และกิจกรรมเสริมจากสสวท.) จนเมื่อได้รับการอบรมก็เข้าใจว่า เป็นแผนการจัดประสบการณ์แบบบูรณาการเสริมเข้าไปใน 6 กิจกรรมหลักที่มีอยู่แล้ว ส่งผลให้ครูมีองค์ความรู้ในการจัดรูปแบบการเรียนการสอนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถต่อยอดกิจกรรมตามสภาพแวดล้อมและภูมิปัญญาในท้องถิ่นของตน
 “เราได้เห็นพัฒนาการเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ อย่างชัดเจนถึง 4 ด้านภายหลังนำโครงการนี้เข้ามา คือ ด้านร่างกาย เด็กมีการเคลื่อนไหว ตื่นตัวต่อการเรียนรู้ตลอดเวลา ด้านสังคม เด็กมีการทำงานร่วมกัน มีพัฒนาการทางสังคมในการอยู่ร่วมกัน รู้จักเคารพกฎ-กติกา ด้านครอบครัว มีการพูดคุย และเรียนรู้ร่วมกันระหว่างเด็กและผู้ปกครอง และด้านสติปัญญา เด็กค้นหาและค้นพบองค์ความรู้ด้วยตัวเอง แทนที่จะรอครูบอกเพียงอย่างเดียว” นางกันยารัตน์ กล่าว



                                 


ตามหาใบไม้...ที่บ้านแม่สลิดหลวงวิทยา
        กิจกรรมการเรียนรู้จากใบไม้ที่โรงเรียนบ้านสลิดหลวงวิทยา ตำบลแม่สอง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก ซึ่งเป็นโรงเรียนในโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามแนวพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นตัวอย่างหนึ่งของกิจกรรมบูรณาการที่ให้เด็ก ๆ ได้ฝึกการสังเกตและวาดภาพใบไม้ ต่อยอดสู่การเรียนรู้เรขาคณิตจากรูปทรงของใบไม้ ตลอดจนช่วยกันคิดค้นเทคโนโลยีในการพิมพ์ลายใบไม้ให้เป็นศิลปะบนผืนผ้าอย่างง่าย ๆ
        “เดิมเด็กไม่ได้ลงมือปฏิบัติก็ไม่ค่อยสนใจเรียน เสียสมาธิง่าย อีกอย่างเด็กอนุบาลที่นี่เป็นเด็กชาวเขา 100 เปอร์เซนต์ ครูก็สื่อสารยากเพราะไม่เข้าใจภาษาถิ่น เด็กก็ไม่เข้าใจภาษาไทย ต้องมีครูภาษาถิ่นเข้ามาช่วย โชคดีที่มีเด็กบางคนรู้ทั้งสองภาษาก็จะช่วยเพื่อน บางทีก็ช่วยครูด้วยเหมือนกัน” ครูโสรดา พลเสน คุณครูอนุบาล 2/1 เล่าให้ฟังถึงปัญหาที่ผ่านมา“แต่พอนำเอาวิธีการสอนของสสวท. มาใช้ เราก็บูรณาการวิชาภาษาไทยเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งวิชา ทำให้เด็ก ๆ มีปฏิสัมพันธ์กับครูมากขึ้น กระตือรือล้น กล้าคิด กล้าแสดงออกมากกว่าเดิมที่ต้องรอให้ครูบอกเพียงอย่างเดียว”



                    


แม่ละเมา...เขาชวนล่องแก่ง
        อีกหนึ่งกิจกรรมการเรียนรู้ของเด็กชายขอบให้สามารถ “ล่องแก่งอย่างไรให้ปลอดภัย” ซึ่งสอนเด็ก ๆ รู้จักและเรียนรู้ถึงประโยชน์อุปกรณ์ที่ใช้ในการล่องแก่ง เช่น ไม้พาย หมวกกันน็อค เสื้อชูชีพ และวิธีการล่องแก่งที่ปลอดภัย จากการสังเกต คิดวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ซึ่งไม่เพียงเป็นการสอดแทรกความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศิลปะแล้ว ยังปลูกฝังแนวทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และรักในถิ่นเกิดของตนเอง
ครูพัชรา อังกูรขจร ครูวิทยฐานะชำนาญการ โรงเรียนบ้านแม่ละเมา ตำบลพะวอ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กล่าวว่า ขณะนี้พ่อแม่เด็กหลายคนที่เข้ามาเรียนรู้ร่วมกับเด็ก ๆได้กลายมาเป็นแกนนำผู้ปกครอง และสามารถจัดตั้งเป็น “เครือข่ายพ่อครู-แม่ครู” ถึง 12 กลุ่มเครือข่าย มาอาสาช่วยสอนและจัดกิจกรรมกับโรงเรียน ผู้ใหญ่หลายท่านในชุมชนมีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนรู้ก็มาช่วยกัน ซึ่งช่วยแบ่งเบาปัญหาครูขาดแคลนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
“เนื่องจากผู้ปกครองหรือครูบางท่านไม่ได้มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์โดยตรง ดังนั้น ก่อนทำกิจกรรม เราจะมาประชุมกันก่อนเพื่อสรุปว่ากิจกรรมแต่ละชุด เด็กจะต้องเรียนรู้คำสำคัญหรือคีย์เวิร์ดอะไรบ้าง ทุกฝ่ายจะได้เข้าใจตรงกันและดำเนินกิจกรรมไปในทิศทางเดียวกัน”
        แม่ครูทัศวรรณ ปู่ลมดี ผู้ปกครองจิตอาสาในเครือข่ายพ่อครู-แม่ครูท่านหนึ่ง ยืนยันว่า การที่พ่อแม่ร่วมดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ทำให้รู้ว่า ลูกเรามีความบกพร่องหรือด้อยในด้านใด ที่สำคัญคือ พ่อแม่ได้ตระหนักว่า จะปล่อยให้การเรียนรู้ของเด็ก ๆ เป็นภาระของครูทั้งหมดไม่ได้ เพราะเวลาของเด็กส่วนใหญ่นั้นอยู่ที่บ้าน จึงเป็นเรื่องดีที่โรงเรียน พ่อแม่ และชุมชน จะมาช่วยกันหาวิธีการศึกษา หรือช่วยกันตอกย้ำซ้ำทวนสิ่งที่เด็ก ๆ ได้เรียนรู้มา ซึ่งเราสัมผัสได้เลยว่า เด็กมีพัฒนาการดีขึ้นมาก ครอบครัวก็อบอุ่นเพราะได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น
“ตอนนี้เริ่มมีเสียงเรียกร้องจากเด็กปฐมวัยให้จัดการเรียนการสอนแบบนี้ เมื่อเขาขึ้นสู่ระดับประถมและมัธยมศึกษา ซึ่งเราคงเริ่มที่ระดับประถมศึกษาก่อน ถ้าหาก สสวท. สามารถขยายกิจกรรมลักษณะนี้ไปจนถึงประถมศึกษา 3 เท่ากับเด็กจะมีเวลาฝึกฝนกระบวนการคิดวิเคราะห์ถึง 5 ปี ซึ่งน่าจะเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมพอในการปลูกฝังเด็กให้เป็นคนมีจิตวิทยาศาสตร์ ที่ติดตัวไปกระทั่งโตเป็นผู้ใหญ่ หรือเด็กบางคนอาจกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ของประเทศก็เป็นได้” ผอ.ทองสุข สรุปทิ้งท้าย



ประเมินตนเอง 

ในสัปดาห์นี้ให้คะเเนนตัวเอง 90 คะเเนน เพราะตั้งใจเรียน แต่งกายเรียบร้อย   และมีส่วนร่วมในการตอบคำถามในห้องเรียน

ประเมินเพื่อน

ในรายสัปดาห์นี้ให้คะเเนนเพื่อน 100 คะเเนน  เพราะเพื่อนตั้งใจเรียนและเเต่งกายเรียบร้อย  และมีส่วนร่วมในการตอบคำถามในห้องเรียน

ประเมินครูผู้สอน  

ในรายสัปดาห์นี้ให้คะเเนนครูผู้สอน 100 คะเเนนเพราะครูสอนเข้าใจ  เเต่งกายเรียบร้อย  เเละเข้าสอนตรงเวลา   และ power point  มีความสวยงามดูแล้วมีความสะอาดตามากคะ


2 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  2. ศึกษาแนวการสอนนะคะว่าครูประเมินอะไรบ้างBlog
    ครั้งที่4แล้วครูจะไม่บอกรายละเอียดในBlogนะคะ รีบปรับปรุงด่วน
    การสรุปมีความรู้ แล้วยังมีอะไรอีกคะ
    ควรใช้เทคโนโลยีนำเสนอข้อสรุปบ้างนะคะ
    คำศัพท์ของเนื้อหาวิชาจะดีมากนะคะ
    ควรปรับปรุงสีของตัวหนังสือในกล่องแสดงความคิดเห็นนะคะ

    ตอบลบ